(MAMAMOO - Wheein) นางสาวอับโชค
แม่หนู... แม่หนูอับโชค... ดูดวงหน่อยไหมจ๊ะ ยายคิดไม่แพงหรอก
ผู้เข้าชมรวม
482
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“พี่บยอลอี หนูกลับบ้านก่อนนะคะ” เธอก้มหัวโค้งบอกลาเจ้าของร้านอาหารที่พ่วงตำแหน่งเชฟใหญ่ของร้านรวมทั้งตำแหน่งงานบัญชีจำเป็นไปในตัวที่ดูจะสนใจโน้ตบุ๊กตรงหน้ามากกว่าเธอเสียอีก
เจ้าของเรือนผมสีทองสว่างที่ตอนนี้ถูกรวบขึ้นมาผูกเป็นหางม้าอย่างลวกๆ กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวประจำกลางร้าน หน้าก็ก้มลงมองไปยังจอของโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าเครื่องประจำ มือทั้งสองก็วางลงที่แป้นพิมพ์พร้อมกับพิมพ์อะไรก๊อกๆ แก๊กๆ ลงไปอย่างคล่องแคล่ว
“จ้า กลับบ้านดีๆ นะตัวเล็ก” คนผมทองเบนความสนใจจากโน้ตบุ๊กตรงหน้า ก่อนหันมาโบกมือยิ้มให้เธอเพียงครู่ แล้วก็ก้มลงไปสนใจยังตำแหน่งเดิม
เธอที่เห็นท่าทางยุ่งๆ ของคนตรงหน้าแทบทุกวันก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ พี่บยอลอีนอกจากจะเป็นพวกบ้างาน แล้วยังจะใจดี ถึงแม้จะสวยแต่ก็ยังเท่ อีกทั้งยังสุภาพเรียบร้อยกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ลูกน้อง หรือกระทั่งคนอื่นที่แค่ผ่านไปผ่านมา และเธอเองก็ไม่เชื่อด้วยว่าบนโลกนี้จะมีคนที่ไม่ชอบพี่บยอลอีที่สุดแสนจะเพอร์เฟคคนนี้อยู่ ความจริงเธอก็สร้างปัญหาให้พี่เจ้าของร้านตรงหน้าไว้มากจนน่าละอายเหมือนกัน ตอนแรกที่เข้ามาในร้านนี้ เธอก็สมัครมาเป็นพนักงานเสิร์ฟตามใบประกาศที่เปิดรับอยู่นั่นแหละ แต่แล้วกลับถูกย้ายมาเป็นตำแหน่งงานใหม่ที่ตอนนั้นร้านนี้ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะเป็นเพียงร้านขนาดย่อมไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่พี่บยอลอีก็ตั้งมันขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ตำแหน่งพนักงานต้อนรับ ทำไมน่ะหรอ...
ติ้ง!
เสียงเคาะกระดิ่งดังขึ้นมาจากทางเคาน์เตอร์ครัวเรียกให้เธอเดินเข้าไปหา ครัวของร้านเป็นแบบกึ่งเปิด ที่มีช่องกว้างเหนือเคาน์เตอร์ยาวประมาณสองเมตรทำให้แขกสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในครัวได้ เมื่อเดินไปถึงช่องเคาน์เตอร์นั้นเธอก็เห็นหน้าของผู้ช่วยเชฟสาวสวยที่ตอนนี้เก็บรวบผมยาวสีน้ำตาลแดงอมชมพูกุหลาบน่ารักไว้ในหมวกแม่ครัวทรงต่ำสีขาวสะอาดสุภาพ หน้ากลมๆ นั่นยื่นออกมาผ่านทางช่องเหนือเคาน์เตอร์พร้อมรอยยิ้มประจำตัวที่เธอเห็นมันมาตลอดเกือบสัปดาห์ที่ได้เข้ามาทำงานที่นี่
“ฮวีอิน! เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะสอง” ผู้ช่วยเชฟสาวสวยนามว่ายงซอนที่ยื่นหน้ามาให้เธอเห็นเมื่อครู่เอ่ยออกมาพร้อมกับยกถาดอาหารมาวางบนเคาน์เตอร์
“ค่า!” เธอรับคำอย่างขยันขันแข็ง ก่อนจะเดินไปหยิบจานถาดอาหารที่เพิ่งจะถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังตำแหน่งของโต๊ะหมายเลขสองตามคำสั่งของคนในครัว
ระหว่างกำลังเดินผ่านช่องระหว่างโต๊ะหมายเลขหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเดิน และโต๊ะหมายเลขหกที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเดิน ตาเธอก็เหลือบเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะหมายเลขหกนั้นดันยกศอกขึ้นมาสูงผิดปกติจากทั่วไป
หล่นแน่ๆ...
เพล้ง!
แก้วน้ำสแตนเลสของลูกค้าผู้หญิงคนนั้นถูกศอกของเจ้าตัวดันให้แก้วนั้นร่วงหล่นลงมาจนน้ำนองเอ่ออยู่บนพื้นห่างจากเธอไม่ถึงคืบ ขาที่เดินอยู่ปกติของเธอก็หยุดลงแล้วเบี่ยงตัวก้าวข้ามจุดเกิดเหตุนั้นไปได้พอดิบพอดีอย่างสวยงาม ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับไปหาลูกค้าคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะคุณลูกค้า”
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ลูกค้าคนนั้นตอบกลับมาพร้อมสีหน้ากังวล
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลูกค้า อีกสักครู่พนักงานจะมาเก็บกวาดทำความสะอาดพร้อมกับนำแก้วมาเปลี่ยนให้ใหม่นะคะ เชิญคุณลูกค้ารับประทานอาหารมื้อนี้อย่างมีความสุขค่ะ” พูดจบเธอก็ก้มโค้งลงน้อยๆ อย่างนอบน้อม แต่แล้ว…
โพลก! แง๊~
มีของแข็งบางอย่างกระทบเข้าทางด้านหลังของเธออย่างจัง พร้อมทั้งเสียงเด็กร้องไห้ดังระงมลั่นร้าน แรงที่ชนเข้ากับหลังของเธอมันทำให้ตัวเธอเซถลาแถดๆๆ ไปหาลูกค้าผู้หญิงที่สนทนาอยู่ด้วยเมื่อครู่ ดูจากทิศทางแล้วถาดอาหารบนมือเธอต้องโปะลงไปที่ตัวลูกค้าตรงหน้าแน่นอน เธอจึงตัดสินใจยกมันขึ้นสูงเหนือหัวตัวเองหวังว่ามันจะช่วยได้ ทันใดนั้นร่างของเธอที่เสียหลักอยู่แล้วตอนนี้ก็เสียหลักหนักเข้าไปอีก เมื่อเท้าเธอเหยียบเข้าให้กับน้ำบนพื้นที่เมื่อกี้เพิ่งภูมิใจในตัวเองว่าผ่านมันมาได้อย่างสวยงาม ก่อนที่ข้อเท้าจะพลิกจนเธอร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมกับถาดอาหารที่เธอชูไว้เหนือหัวนั่นก็พลิกคว่ำลงมาบนหัวเธอพอดีโดยที่ไม่มีใครอื่นได้รับความเสียหายนอกจากตัวเธอเอง
เธอหันกลับไปมองดูด้วยความงงงวยว่าอะไรกันแน่ที่กระแทกเข้ามาที่หลังเธอ และเธอก็เห็นเก้าอี้ตัวนึงล้มกองอยู่กับพื้น บนเก้าอี้นั้นก็มีเด็กชายอายุน่าจะประมาณสักสิบขวบนอนแอ้งแม้งส่งเสียงแหกปากร้องชวนปวดหัว ไม่นานเธอก็เห็นพี่บยอลอีเดินเร็วๆ มาทางเธอ ก่อนจะเป็นคนหยิบถาดอาหารที่วางแหมะอยู่บนหัวเธอออกให้ พร้อมกับอีกมือนึงก็ปัดเศษข้าวผัดกิมจิทูน่า เมนูยอดฮิตของร้านที่เปรอะเปื้อนอยู่บนหัวเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า ฮวีอิน” เธอมองหน้าสวยของคนพูดที่ดูจะแตกตื่นตกใจอย่างมากก่อนส่ายหัวน้อยๆ พร้อมตอบกลับไป
“หนูไม่เป็นไรค่ะ พี่บยอลอี ขอโทษนะคะ ร้านเปื้อนหมดเลย”
“เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พี่บยอลอีมองพิจารณาสภาพของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปโค้งตัวขอโทษลูกค้ายกใหญ่ “คุณลูกค้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ ทางเราต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” พี่บยอลอีพูดกับลูกค้าผู้หญิงโต๊ะหก ก่อนจะหันไปทางโต๊ะหนึ่งแล้วพูดขอโทษเหมือนกับเมื่อกี้นี้อีกรอบ
“ฉันต่างหากค่ะที่ต้องขอโทษ” หญิงวัยกลางคนที่นั่งโต๊ะหนึ่งเอ่ยขอโทษออกมา พร้อมมือก็จับเด็กคนที่นอนอยู่นั้นให้ลุกขึ้น ซึ่งพี่บยอลอีก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยพยุงทั้งเด็กและก็เก้าอี้ที่ร่วงอยู่กับพื้นให้ตั้งขึ้นเหมือนเดิม
“แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่านั่งเก้าอี้สองขา ดูซิ ไปชนพี่เขาเสียหายกันไปหมดเลย” หญิงวัยกลางคนหันไปดุเด็กชายบนเก้าอี้ “ขอโทษพี่เขาสิ”
เด็กชายลงจากเก้าอี้เดินหน้างอคอตกมาทางเธอก่อนจะก้มหัวลง “ขอโทษครับ พี่สาว”
เธอก้มหัวรับคำเล็กน้อย “จ่ะ” ก่อนจะเบนสายตาไปหาแม่ของเด็กชายคนนั้นที่ตอนนี้ก้มหัวยกมือขอโทษปลกๆ พร้อมยิ้มแหยๆ มาให้
“ฮวีอิน! โต๊ะสิบ”
โครม!
“อุ๊ย ขอโทษนะคะ ฉันคุยกับเพื่อนเพลิน คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
เธอที่นอนก้นโด่งหน้าทิ่มถาดอาหารอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปยิ้มให้ลูกค้าที่เพิ่งจะผลักประตูเข้ามาชนเธออย่างจัง ทั้งๆ ที่ประตูก็เป็นประตูกระจกใส แถมยังมีป้ายติดอยู่ว่าให้ดึง “ไม่เป็นอะไรค่ะ คุณลูกค้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะคะ”
“ฮวีอิน!”
ตึง!
“ฮวีอิน!”
เพล้ง!
“ฮวีอิน” เสียงอ่อนๆ ปนกับเสียงถอนหายใจถูกส่งมาจากปากเจ้าของร้าน
ตอนนี้เธอก็มายืนเผชิญหน้ากับพี่บยอลอีที่กำลังนั่งสรุปยอดขายเป็นประจำหลังร้านปิด และเธอก็มาบอกลาก่อนกลับบ้านเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้พี่บยอลอีกลับรั้งตัวเธอไว้บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
แย่แล้วๆๆๆ จะโดนไล่ออกอีกไหมเนี่ย
มือเธอถูกันไปถูกันมาจนแทบจะถลอก น้ำลายก้อนโตถูกกลืนลงคอดังเอื้อกลุ้นกับคำพูดของเจ้าของร้านตรงหน้า ซึ่งหวังว่าเธอจะไม่โดนคนหน้าสวยไล่ออกเหมือนหลายๆ ที่ที่ผ่านมา
“พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาเสิร์ฟอาหารแล้วนะ”
“ห๊ะ!? แต่พี่บยอลอีคะ พี่ก็เห็นว่าหนูไม่ได้-”
“ฟังพี่ให้จบก่อน” พี่บยอลอียกมือขึ้นมาห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ “พรุ่งนี้ให้เธอมาเป็นพนักงานต้อนรับแทน”
เธอเอียงคอขมวดคิ้วส่งไปให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า… พนักงานต้องรับ?
เธอเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างจากร้านอาหารที่ตัวเองทำงานอยู่เพียงแค่เวลาเดินประมาณ 15 นาที จึงไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นรถเมล์ หรือรถไฟใต้ดินอะไรให้เปลืองเงิน ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มได้แล้ว แต่ไฟถนนก็ยังส่องสว่าง รวมถึงผู้คนก็ยังคงมีเดินกันให้เห็นทั่วไป ไม่ได้เยอะมากเหมือนช่วงเวลาเร่งด่วน แต่ก็ไม่ได้น้อยจนถึงกับนับหัวได้ เธอก้าวข้ามสะพานลอยอย่างทุกที เพียงผ่านสะพานลอยนี้แล้วเดินต่ออีกไม่ถึง 20 ก้าวก็ถึงบ้านของเธอแล้ว
“แม่หนู” เสียงเหมือนหญิงชราคนหนึ่งลอยกระทบเข้ามาในหู
“แม่หนู” หืม… เรียกใครกัน เนื่องจากไม่ได้มีเธอที่เดินอยู่ตรงนี้คนเดียว เธอเองก็ไม่คิดว่าเสียงนั้นจะส่งมาเรียกเธอ สองเท้าจึงก้าวเดินต่อไปตามปกติ
“แม่หนูอับโชค!”
ขาทั้งสองข้างของเธอชะงักทันทีกับคำเรียกนั้น ก่อนจะหันหน้าไปหาคนเรียก ภายใต้โคมไฟส่องทางตรงกลางสะพานลอยที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาได้เพียงสองก้าว เธอเห็นหญิงชราผมสีดอกเลาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวดูสบายพร้อมทั้งกระโปรงกรุยกรายสีส้มยาวคลุมเท้า อีกทั้งยังมีผ้าสีส้มโพกหัวเอาไว้ บวกกับเครื่องประดับที่ทำจากหินสีฟ้าร้อยด้วยเชือกสีดำเหมือนพวกฮิปปี้หลงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้พับได้สีเทาอ่อนกำลังกวักมือพร้อมส่งรอยยิ้มมาทางเธอ ด้านหน้าของหญิงชราผู้นั้นก็มีโต๊ะสีเดียวกับเก้าอี้ตั้งวางอยู่พร้อมทั้งมีผ้าปูโต๊ะสีดำสนิทที่มีขอบรุ่ยเล็กน้อยสีทองขลิบอยู่ กับกองอะไรสักอย่างหนึ่งกองวางอยู่บนโต๊ะ เธอชะโงกหน้าไปมองข้างหน้าโต๊ะที่เห็นเหมือนมีป้ายอะไรติดอยู่เล็กน้อย และก็ได้เห็นป้ายที่แปะห้อยอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น หมอดูไพ่ยิปซี
ผลงานอื่นๆ ของ mosedoc ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mosedoc
ความคิดเห็น